Search for:
Treadwear
ตัวหนังสือ “Treadwear” บนแก้มยาง ของรถยนต์​มีไว้บอกอะไร?

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

หลายคนยังคงกังวล และไม่ทราบเรื่องตัวหนังสือต่างที่อยู่บนยางรถยนต์ ซึ่งปกติแล้วคนส่วนใหญ่เมื่อนำรถไปเปลี่ยนยาง ก็มักจะดูเฉพาะ “เดือน-ปีที่ผลิต” บนแก้มยางเท่านั้น แต่รู้หรือไม่ไหมว่ายางรถยนต์ทุกเส้นยังมีตัวเลขที่บ่งบอกถึงความนิ่ม-ความแข็งของเนื้อยาง รวมถึงอายุการใช้งานของยางเส้นนั้นๆ อีกด้วย

ค่า Treadwear บนแก้มยางคืออะไร?

หากสังเกตให้ดีจะพบว่าบนแก้มยางมีการระบุ “Treadwear” ตามด้วยตัวเลขเอาไว้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐานการแบ่งเกรดคุณภาพยางที่เรียกว่า Uniform Tyre Quality Grading (UTQG) โดยค่า Treadwear ใช้สำหรับบ่งบอกถึงอัตราความสึกหรอของยางเส้นนั้นๆ ซึ่งใช้ตัวเลขกำกับ เช่น 200, 260, 350, 400 หรือกระทั่ง 800 เป็นต้น

โดยยางที่มีค่า Treadwear สูงๆ บ่งบอกถึงอัตราการสึกหรอที่ช้ากว่า สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า ในทางกลับกัน ยางที่มีค่า Treadwear ต่ำ แสดงว่ายางเส้นนั้นมีอายุการใช้งานสั้นกว่า เนื่องจากยางมีอัตราการสึกหรอเร็วกว่านั่นเอง

อย่างไรก็ดี ยางที่มีค่า Treadwear สูงจะมีความแข็งของเนื้อยางมากกว่า จึงมักพบข้อเสียที่คนใช้รถทั่วไปไม่พึงประสงค์ เช่น ยางมีเสียงดัง แข็งกระด้าง ไม่เกาะถนนเท่าที่ควร ยางประเภทนี้จึงเหมาะสำหรับรถที่ใช้งานหนัก ขับทางไกลเป็นประจำ จะช่วยยืดระยะเวลาในการเปลี่ยนยาง ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาน้อยลง

ส่วนยางที่มีค่า Treadwear ต่ำจะมีความนิ่มของเนื้อยางมากกว่า จึงทำให้มีการยึดเกาะถนนที่ดีกว่า เสียงรบกวนในขณะขับขี่ต่ำกว่า และให้ความนุ่มนวลมากกว่า แต่ข้อเสียคือ ยางมีอัตราการสึกหรอสูง จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนยางบ่อยมากขึ้น


อย่างไรก็ดี ตัวเลข Treadwear ของยางแต่ละรุ่นถูกกำหนดขึ้นโดยผู้ผลิตยางเอง ไม่ใช่มาตรฐานของหน่วยงาน หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งโดยเฉพาะ ดังนั้นยางที่มี Treadwear 400 ของผู้ผลิต A อาจมีการสึกหรอแตกต่างจากยางที่มี Treadwear 400 ของผู้ผลิต B เล็กน้อย

นอกจากนี้ ประสิทธิภาพต่างๆ ของยางแต่ละรุ่น เช่น ความนุ่มเงียบ, ความทนทาน, การยึดเกาะถนน ฯลฯ ยังมีปัจจัยอื่นอีกนอกเหนือจากค่า Treadwear เพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ผลิตยาง, การออกแบบโครงสร้างยาง หรือการออกแบบลวดลายของดอกยาง เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เจ้าของรถต้องพิจารณาควบคู่กันไปด้วย

มาตรฐานการแบ่งเกรดคุณภาพยาง Uniform Tyre Quality Grading (UTQG) ยังมีการระบุถึง Traction และ Temperature เอาไว้ด้วย โดย Traction จะหมายถึงความสามารถในการยึดเกาะถนนโดยเฉพาะบนทางเปียก โดยไล่จากสูงสุดไปต่ำสุด คือ AA, A, B และ C ขณะที่ Temperature หมายถึงความสามารถในการทนความร้อน โดยมีค่าจากดีสุดไปยังแย่สุด คือ A, B และ C

ดังนั้นเมื่อเป็นแบบนี้ ก่อนเปลี่ยนยางครั้งต่อไป อย่าลืมสังเกตค่ามาตรฐานเหล่านี้กันด้วยนะครับ เพราะมันสำคัญกับความปลอดภัยจริงๆ

Gasohol 95
น้ำมัน Gasohol 95 กับ E20 เติมตัวไหนคุ้มเงินกว่า?

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

น้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์ในปัจจุบันมีให้เลือกใช้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซล น้ำมันดีเซลสูตรพิเศษ แล้วควรเลือกเติมแบบไหนจึงจะดีที่สุด

ก่อนอื่นเราไปรู้จักกับน้ำมันแต่ละประเภทว่ามีอะไรบ้าง?

1.น้ำมันเบนซิน

น้ำมันเบนซิน (Gasoline) ในที่นี้ หมายถึง น้ำมันเบนซินเพียวๆ ที่ไม่มีการผสมเอทานอล ในประเทศไทยมีค่าออกเทนให้เลือกตั้งแต่ 91 และ 95 (ปัจจุบัน 91 ถูกยกเลิกการจำหน่ายไปแล้ว) เหมาะสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูง รถสปอร์ต ซูเปอร์คาร์ รวมถึงรถยนต์รุ่นเก่าที่ไม่สามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ได้เลย

ปั๊มน้ำมันบางแห่งจะมีน้ำมันเบนซินสูตรพิเศษวางจำหน่ายด้วย ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะถูกเติมสาร Additive เข้าไปเพื่อชะล้างหัวฉีด ทำให้มีราคาสูงกว่า ส่วนความจำเป็นจะต้องใช้น้ำมันประเภทนี้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

2.น้ำมันแก๊สโซฮอล์

น้ำมันแก๊สโซฮอล์ (Gasohol) คือ น้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอล (Ethanol) ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น อ้อย กากน้ำตาล และมันสำปะหลัง มีสัดส่วนขึ้นอยู่กับน้ำมันแต่ละประเภท ได้แก่ E10 มีสัดส่วนระหว่าง Ethanol และ Gasoline อยู่ที่ 10:90, น้ำมัน E20 มีสัดส่วนอยู่ที่ 20:80 และ E85 มีสัดส่วนอยู่ที่ 85:15

3.น้ำมันดีเซล

น้ำมันดีเซล (Diesel) ถูกใช้สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลเท่านั้น ซึ่งมีการจุดระเบิดด้วยการอัด ต่างจากเครื่องยนต์เบนซินที่จุดระเบิดด้วยหัวเทียน ทำให้เครื่องยนต์ดีเซลมีแรงบิดสูงกว่านั่นเอง

น้ำมันดีเซลส่วนใหญ่ในบ้านเราเป็นมาตรฐาน Euro 4 ซึ่งมีค่ากำมะถันต่ำกว่า 50 ppm เหมาะใช้ในเครื่องยนต์ดีเซลทั่วไป ขณะที่บางปั๊มมีน้ำมันดีเซล Euro 5 ด้วย ซึ่งจะมีค่ากำมะถันต่ำกว่า 10 ppm เหมาะสำหรับใช้กับรถยนต์ดีเซลสมรรถนะสูง รวมถึงรถนำเข้าที่มีระบบ DPF (ระบบดักจับฝุ่นละอองไอเสียในยุโรป) จะช่วยลดอาการควันดำได้

Gasohol

ระหว่าง Gasohol 95 กับ E20 เติมตัวไหนคุ้มกว่า?


จากการทดสอบของ ปตท. ระบุว่า น้ำมันเชื้อเพลิง Gasohol E20 มีอัตราสิ้นเปลืองมากกว่า Gasohol 95 E10 อยู่ประมาณ 2.53% เท่ากับว่าการใช้น้ำมัน E10 จำนวน 100 ลิตร จะเทียบเท่ากับการใช้ E20 จำนวน 102.53 ลิตร แต่ทั้งนี้ ส่วนต่างน้ำมันที่มีราคาต่ำกว่าประมาณ 2.5 – 3 บาท เมื่อคิดเป็นจำนวนเงินต่อกิโลเมตรแล้ว E20 จึงถูกกว่าการใช้น้ำมัน E10 กล่าวคือ

  • เติมน้ำมัน Gasohol 95 E10 จำนวน 100 ลิตร จะเท่ากับ 3,995 บาท
  • เติมน้ำมัน Gasohol E20 จำนวน 102.53 ลิตร จะเท่ากับ 3,797 บาท
  • การเติมน้ำมัน E20 จะช่วยประหยัดเงินได้เป็นจำนวน 198 บาท โดยได้ระยะทางเท่ากัน
  • หมายเหตุ: อ้างอิงจากราคาน้ำมัน Gasohol 95 ราคา 39.35 บาทต่อลิตร และ E20 ราคา 37.04 บาทต่อลิตร

 ดังนั้น หากรถยนต์ของคุณถูกระบุว่าสามารถเติมน้ำมัน E20 ได้ การเติม E20 ก็จะช่วยประหยัดค่าน้ำมันในระยะยาวได้มากกว่าน้ำมัน Gasohol 95 ครับ

สิ่งของอาถรรพ์
5 สิ่งของอาถรรพ์ห้ามมีไว้ในรถเด็ดขาด

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

สิ่งของอาถรรพ์ที่ไม่ควรเก็บไว้ในรถโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ก็ตาม เพราะหากอ้างอิงตามความเชื่อแล้ว สิ่งของเหล่านี้อาจนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง นำมาซึ่งสิ่งไม่ดี หรือร้ายแรงจนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุได้ จะมีอะไรบ้าง ?

5 สิ่งของอาถรรพ์ที่ไม่ควรเก็บไว้ในรถเด็ดขาด

1. เศษเหรียญตกบนพื้น

– การมีเศษเหรียญกระจัดกระจายอยู่ในพื้นรถ จะทำให้เจ้าของรถเก็บเงินไม่อยู่ ทางที่ดีควรเก็บรวมไว้ในจุดเดียว หรือเก็บติดตัวไว้ในกระเป๋าสตางค์จะดีที่สุด

2. พวงมาลัยที่ปล่อยทิ้งไว้จนแห้ง

– การซื้อพวงมาลัยเพื่อบูชาเสริมสิริมงคลภายในรถสามารถทำได้ แต่ไม่ควรปล่อยให้พวงมาลัยแห้งเฉาคารถโดยเด็ดขาด เพราะถือเป็นการทำของมงคลให้กลายเป็นอัปมงคล ทั้งยังสร้างกลิ่นและความสกปรกให้กับห้องโดยสารได้

3. นาฬิกาตาย

– เนื่องจากนาฬิกาที่ตายแล้วเปรียบเสมือนกับการหมดอายุขัยของคน หากเก็บทิ้งไว้ในรถก็จะกลายเป็นของอัปมงคล สื่อถึงการหมดอายุขัย และการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้

4. ของใช้จากคนเสียชีวิต

– หลายคนเลือกที่จะเก็บสิ่งของจากผู้ที่ล่วงลับไปแล้วไว้ดูต่างหน้า หรือเก็บไว้เนื่องจากมีคุณค่าทางจิตใจ แต่สิ่งของเหล่านี้ก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีได้ ทางที่ดีสิ่งของเหล่านี้ควรเก็บไว้ในที่ร่มเย็น เช่น ห้องพระหรือหิ้งพระแทนจะดีกว่า

5. กระจกแตกร้าว

– กระจกที่แตกร้าวสื่อถึงความสัมพันธ์ที่ร้าวฉาน ไม่ควรเก็บทิ้งไว้ในรถ เพราะตามความเชื่อจะถึงว่าจะทำให้คนที่อยู่ภายในรถทะเลาะกัน มีปากเสียงอยู่เสมอ และอาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้

แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคล แต่หากอ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ก็ยังถือว่าไม่ควรเก็บไว้ในรถเช่นเดียวกัน เช่น เศษเหรียญที่ตกอยู่ตามพื้น หากก้มเก็บในขณะขับขี่ จะทำให้สมาธิเสียไป เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ หรือเศษกระจกที่แตกหากเก็บไว้ในลิ้นชัก ถ้าเกิดหยิบของแล้วถูกกระจกบาดมือแล้วล่ะก็ อาจสร้างความเจ็บตัวได้เหมือนกันครับ

เติมลมยาง
ขับรถทางไกลต้องเติมลมยางเท่าไหร่จึงจะถูกต้อง?

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

หลายคนกำลังเตรียมตัวขับรถท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดปีใหม่ 2566 นี้ การตรวจเช็กสภาพรถให้พร้อมถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย เช่นเดียวกับการเติมลมยางให้เหมาะสมก่อนเดินทางทุกครั้ง แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ ที่หลายคนมองข้าม แต่ก็ถือเป็นความปลอดภัยขั้นพื้นฐานที่ผู้ใช้รถทุกคนต้องหมั่นตรวจสอบเสมอ

ก่อนขับรถเดินทางไกลควรเติมลมยางเท่าไหร่จึงจะดีที่สุด จะพาไปหาคำตอบกันครับ

โดยปกติแล้วรถยนต์ทุกคันควรเติมแรงดันลมยางให้ได้ตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่นและยี่ห้อรถ โดยเจ้าของรถสามารถตรวจสอบแรงดันลมยางที่เหมาะสมได้จากสติ๊กเกอร์ที่ติดไว้บริเวณเสากลางฝั่งผู้ขับขี่ ที่ระบุแรงดันลมยางของล้อหน้าและล้อหลังเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นลมยางปกติหรือลมไนโตรเจนก็ตาม

เติมลมยาง

ส่วนกรณีมีความจำเป็นต้องขับรถเดินทางไกล มีผู้โดยสารนั่งไปด้วยหลายคน และมีสัมภาระเต็มคัน (MAX LOAD) จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มแรงดันลมยางให้มากกว่าปกติ โดยล้อคู่หน้าควรเพิ่มแรงดันขึ้นอีก 2 – 4 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) ล้อคู่หลังควรเพิ่มแรงดันขึ้น 6 – 10 ปอนด์ต่อตารางนิ้วขึ้นอยู่กับขนาดล้อและยาง เพื่อชดเชยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกับล้อคู่หลัง

การเพิ่มแรงดันลมยางกรณีบรรทุกผู้โดยสารและสัมภาระเต็มคัน จะช่วยให้ยางคงไว้ซึ่งความกลมขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ลดโอกาสยางฉีกหรือระเบิดเมื่อตกหลุมอย่างรุนแรง และยังช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลงได้อีกด้วย

เมื่อทราบอย่างนี้แล้วก่อนขับรถไปเที่ยวกับครอบครัวช่วงปีใหม่ 2566 นี้ ก็อย่าลืมตรวจเช็กลมยางให้เหมาะสมก่อนเดินทางด้วยนะครับ

ปุ่มใต้กระจก
หลายคนไม่รู้! ประโยชน์ที่แท้จริงของปุ่มใต้กระจกมองหลัง

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

เชื่อว่ามีผู้ใช้รถจำนวนไม่น้อยสังเกตเห็นปุ่มเล็กๆ อยู่บริเวณใต้กระจกมองหลังภายในห้องโดยสาร และหลายคนก็ทราบว่ามีไว้เพื่อใช้สำหรับตัดแสงจ้าจากรถคันหลัง แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่าแท้จริงแล้วมันใช้งานอย่างไร บทความนี้จะขอแนะนำวิธีการใช้กระจกตัดแสงที่ถูกต้องมาฝากกัน

กระจกมองหลังตัดแสงทำงานอย่างไร?

ปัจจุบันกระจกมองหลังมีระบบตัดแสง 2 รูปแบบ คือ แบบธรรมดา และแบบอัตโนมัติ โดยที่กระจกตัดแสงอัตโนมัติจะใช้เซ็นเซอร์ขนาดเล็กในการวัดแสงสะท้อนจากรถคันหลัง จากนั้นจะเพิ่มความเข้มของกระจกโดยอัตโนมัติหากพบว่ามีแสงจ้าที่อาจทำให้ผู้ขับขี่ตาพร่ามัวได้ ซึ่งกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติไม่ต้องการการควบคุมใดๆ ของผู้ใช้รถเลย เพราะระบบจะทำงานโดยอัตโนมัติ 100% (เว้นแต่รถบางรุ่นสามารถเปิด-ปิดการทำงานของระบบตัดแสงอัตโนมัติได้)

ส่วนกระจกตัดแสงแบบธรรมดานั้น จะใช้หลักการหักเหของแสงเพื่อลดแสงสะท้อนแทน โดยเนื้อกระจกจะถูกออกแบบให้มีรูปทรงพิเศษเพื่อช่วยในการลดแสงจ้าจากรถคันหลัง วิธีการทำงานก็ง่ายดาย หากพบว่ารถคันหลังเปิดไฟสูงหรือมีแสงสว่างจ้า ก็เพียงดึงก้านเข้าหาตัว กระจกจะทำมุมเงยขึ้นเล็กน้อย และช่วยลดความสว่างจ้าจากรถคันหลังได้

ทั้งนี้ รถบางรุ่นอาจออกแบบให้ใช้วิธีการผลักก้านไปข้างหน้าเพื่อลดแสงสะท้อนแทน จึงควรศึกษาคู่มือการใช้งานของรถแต่ละคันอย่างละเอียด เพราะการใช้งานที่ถูกต้องจะช่วยรักษามุมสะท้อนของกระจกได้ คงไว้ซึ่งทัศนวิสัยด้านหลังรถ ไม่ต้องมาคอยปรับองศาของกระจกทุกครั้งไป

เมื่อทราบเช่นนี้แล้วก็อย่าลืมใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกันด้วยนะครับ

ฝากระโปรง
ทำไมจึงไม่ควรเปิดฝากระโปรงหน้าหลังจากขับรถทางไกล?

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

ในช่วงเทศกาลที่หลายคนเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด อาจมีความกังวลว่าการจอดแวะพักรถหลังขับรถเป็นระยะทางไกลๆ ควรเปิดฝากระโปรงเพื่อช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์หรือไม่

การเปิดฝากระโปรงหน้าภายหลังจากที่ดับเครื่องยนต์แล้วนั้น สามารถช่วยลดความร้อนได้จริง เนื่องจากความร้อนจะลอยตัวขึ้นที่สูงเสมอ ดังนั้นการเปิดฝากระโปรงหน้ารถทิ้งไว้จะทำให้ความร้อนของเครื่องยนต์ลดลงได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ดี การเปิดฝากระโปรงหน้าเพื่อระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด เนื่องจากเครื่องยนต์มีการระบายความร้อนด้วยระบบน้ำหล่อเย็น ที่ช่วยรักษาอุณหภูมิเครื่องยนต์ให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว โดยเฉพาะการขับขี่ระยะทางไกลๆ จะมีอากาศคอยไหลเวียนเพื่อช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์ได้เป็นอย่างดี เว้นแต่รถบางคันที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบระบายความร้อน อาจต้องเปิดฝากระโปรงหน้าเพื่อช่วยเร่งระบายความร้อนออกไป

ดังนั้น การจอดพักรถจึงไม่มีความจำเป็นต้องเปิดฝากระโปรงหน้าเพื่อช่วยระบายความร้อน เนื่องจากไม่มีประโยชน์อันเป็นนัยยะสำคัญในการช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ เพียงแต่อาจช่วยยืดอายุชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติกหรือยางได้เล็กน้อยเท่านั้น

แต่หากผู้ขับขี่ต้องการเปิดฝากระโปรงหน้ารถในพื้นที่สาธารณะที่ไม่คุ้นเคยจริงๆ แล้วล่ะก็ ควรเฝ้ารถไม่ให้คลาดสายตาไปไกลนัก เนื่องจากอาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีทำอันตรายกับชิ้นส่วนในห้องเครื่องยนต์ของคุณได้ครับ

ขับรถชนแต่ไม่มีใบขับขี่
ขับรถชนแต่ไม่มีใบขับขี่ ประกันจ่ายหรือไม่?

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

หากขับรถไปประสบอุบัติเหตุเป็นฝ่ายผิดโดยที่ไม่เคยมีใบขับขี่มาก่อนเลย กรณีเช่นนี้บริษัทประกันจะให้ความคุ้มครองหรือไม่? แล้วถ้าเป็นฝ่ายถูกแต่ไม่มีใบขับขี่ล่ะ บริษัทประกันจะจ่ายให้หรือเปล่า?

ลืมพกใบขับขี่-ถูกยึด-หมดอายุ เคลมประกันได้ตามปกติ

โดยปกติแล้วหากขับรถไปเกิดอุบัติเหตุและมีคู่กรณี ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิดก็ตาม หากไม่ได้พกใบขับขี่หรือใบขับขี่หมดอายุ กรณีเช่นนี้บริษัทประกันภัยจะยังคงให้ความคุ้มครองตามปกติทุกประการ เพียงแต่ผู้ขับขี่อาจจำเป็นต้องแสดงรูปถ่ายใบขับขี่ของตนเองให้กับทางบริษัทประกัน หรือดำเนินการคัดเอกสารส่งให้ทางบริษัทประกันในภายหลัง ดังนั้นผู้ที่เคยมีใบขับขี่มาแล้วจึงไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องของการเคลมประกันแต่อย่างใด

หากไม่เคยมีใบขับขี่มาก่อน ประกันจ่ายหรือไม่?

หากขับรถประสบอุบัติเหตุ แต่ผู้ขับขี่ไม่เคยทำใบขับขี่มาก่อน ลักษณะเช่นนี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ 1.ไม่เคยมีใบขับขี่และเป็นฝ่ายถูก และ 2.ไม่เคยมีใบขับขี่และเป็นฝ่ายผิด ซึ่งทางบริษัทประกันจะแยกพิจารณาความคุ้มครองดังต่อไปนี้

กรณีที่ 1 ไม่เคยมีใบขับขี่ และเป็นฝ่ายถูก

กรณีนี้หากรถคันที่ประสบอุบัติเหตุได้จัดทำประกันภัยรถยนต์ประเภท 1, 2+ และ 3+ ทางบริษัทประกันภัยจะรับผิดชอบในส่วนของค่าซ่อมแซมรถยนต์ของผู้ขับขี่ อีกทั้งจะดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิดให้

กรณีที่ 2 ไม่เคยมีใบขับขี่ และเป็นฝ่ายผิด

กรณีนี้บริษัทประกันจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นในทุกกรณี แต่จะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินและร่างกายของคู่กรณี ตามที่ระบุไว้ในเงื่อนไขกรมธรรม์เท่านั้น

ทั้งนี้ การมีใบขับขี่ไว้ในครอบครองแสดงถึงความสามารถในการขับรถอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงควรพกใบขับขี่ติดตัวเอาไว้เสมอ เพื่อป้องกันปัญหาใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขับรถ โดยปัจจุบันสามารถใช้ใบขับขี่เสมือนบนแอปพลิเคชัน DLT QR License ของกรมการขนส่งทางบกแทนใบขับขี่ตัวจริงได้ หรืออย่างน้อยก็ควรถ่ายรูปใบขับขี่เก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือเพื่อความอุ่นใจ

ลายเส้นบนกระจก
เพิ่งจะรู้! ลายเส้นบนกระจกหลังมีไว้ทำอะไร

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบริเวณกระจกบานหลังของรถยนต์ทุกคันถึงมีลายเส้นอะไรเต็มไปหมด ซึ่งอันที่จริงแล้วลายเส้นที่ว่านี้มีประโยชน์มากกว่าที่หลายคนคิด แถมยังมีข้อควรระวังที่หลายคนคาดไม่ถึงอีกด้วย!

ลายเส้นบนกระจกหลังคืออะไร?

ลายเส้นบริเวณกระจกหลังแท้จริงแล้วก็คือ “ลวดไล่ฝ้า” ใช้สำหรับกรณีวันที่มีฝนตกหรืออากาศเย็น อาจเกิดฝ้าบริเวณกระจกหลัง ก็สามารถกดปุ่มไล่ฝ้าที่อยู่กับสวิตช์ควบคุมระบบปรับอากาศเพื่อให้ฝ้าจางลงและหายไปในที่สุด

ลวดไล่ฝ้ามีลักษณะเป็นเส้นลวดบางๆ ทำมาจากวัสดุนิกเกิลหรือทองแดง ฝังอยู่ติดกับบานกระจกมาตั้งแต่โรงงาน โดยหลักการทำงานก็ง่ายแสนง่าย คือ เมื่อกดปุ่มไล่ฝ้าหลัง จะเป็นการปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ไหลผ่านแผงลวดเพื่อสร้างความร้อน ทำให้ฝ้าจางลงและหายไปในที่สุด

อย่างไรก็ดี การเปิดใช้งานระบบไล่ฝ้ายังมีข้อควรระมัดระวัง คือ เมื่อฝ้าที่เกาะอยู่บนกระจกเลือนหายไปทั้งหมดแล้ว ควรปิดการทำงานของระบบไล่ฝ้าทันที มิเช่นนั้นอาจทำให้เกิดความร้อนสูงจนกระจกแตกได้ในที่สุด แม้ว่าปัจจุบันรถยนต์จะมีระบบตัดการทำงานของไล่ฝ้าหลังโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดใช้งานนานประมาณ 15-20 นาทีก็ตาม

ลายเส้นบนกระจก
เส้นบนกระจกหลังอาจไม่ได้มีแค่ลวดไล่ฝ้าเพียงอย่างเดียว

รถยนต์บางรุ่นนอกเหนือจากลวดไล่ฝ้าแล้ว ยังเป็นตำแหน่งของเสาอากาศวิทยุอีกด้วย โดยสังเกตว่าหากรถรุ่นนั้นไม่มีเสาอากาศแบบก้านปกติหรือแบบครีบฉลาม ทางผู้ผลิตก็มักจะฝังเสาอากาศเอาไว้กับเนื้อกระจกเพื่อความสวยงามนั่นเอง

คิดจะเปลี่ยนฟิล์มกรองแสงต้องระวัง!

หากรถผ่านการใช้งานมาเป็นระยะหนึ่งแล้วคิดอยากจะเปลี่ยนฟิล์มกรองแสงด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตามแล้วล่ะก็ ควรระวังการลอกฟิล์มกระจกบานหลังให้ดี เพราะมีโอกาสสูงมากที่ลวดไล่ฝ้า (รวมถึงเสาอากาศวิทยุ) จะหลุดติดออกมากับเนื้อฟิล์มเดิม ส่งผลให้ระบบไล่ฝ้าเสียหาย อาจไล่ฝ้าได้เพียงบางเส้นหรือใช้งานไม่ได้เลย และหากเสาอากาศวิทยุหลุดติดออกมาด้วยก็จะทำให้การรับสัญญาณไม่ชัดเจน

ดังนั้น ถ้าเป็นรถที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 5-7 ปีขึ้นไป รวมถึงรถที่ติดตั้งฟิล์มกรองแสงที่มีความหนาของเนื้อฟิล์มเป็นพิเศษ ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนการเปลี่ยนฟิล์มกรองแสงด้วย เพราะถ้าลวดไล่ฝ้าหรือเสาอากาศวิทยุหลุดติดออกมาระหว่างการลอกฟิล์มเก่าแล้วล่ะก็ วิธีเดียวที่จะแก้ไขก็คือการเปลี่ยนกระจกทั้งบาน ไม่สามารถซ่อมแซมเฉพาะจุดได้นั่นเอง

​เติมน้ำมัน
​เติมน้ำมัน ตอนเช้า กับ ตอนบ่าย ตอนไหนได้น้ำมันเยอะกว่า?

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

 ความเชื่อที่ว่าการเติมน้ำมันตอนเช้า จะทำให้ได้ปริมาณน้ำมันมากกว่าช่วงเวลาอื่นๆ เป็นจริงหรือไม่?

หลายคนมีความเชื่อที่ว่า การเติมน้ำมันตอนเช้า จะทำให้ได้ปริมาณน้ำมันมากกว่า เนื่องจากช่วงเช้าเป็นเวลาที่อากาศเย็นมาตลอดทั้งคืน น้ำมันจึงไม่ขยายตัว เมื่อเติมแล้วจึงได้ปริมาณน้ำมันเต็มลิตรเต็มหน่วยมากกว่า ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ หรือผู้เชี่ยวชาญคนไหน ออกมาฟันธงว่าความเชื่อดังกล่าวเป็นความจริง

แต่ในหลักความเป็นจริงนั้น ถังเก็บน้ำมันของปั๊มจะถูกติดตั้งไว้ใต้ดิน ลึกจากพื้นผิวประมาณ 1-1.5 เมตร ตามกฎหมาย และมีการควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น อุณหภูมิของอากาศจึงไม่มีผลทำให้น้ำมันขยายตัวได้เลย

​เติมน้ำมัน

และแม้ว่าอุณหภูมิจะมีผลต่อการขยายตัวของน้ำมันก็จริง แต่สภาพอากาศของประเทศไทยระหว่างกลางวัน และกลางคืน ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากเหมือนกับบางประเทศ (พูดง่ายๆ คือ ร้อนทั้งกลางวันและกลางคืน ร้อนทั้งปี!) ปริมาณน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาก็คงต้องใช้หน่วยวัดที่เล็กกว่า มิลลิลิตร ด้วยซ้ำไป

ดังนั้น การเติมน้ำมันรถ สามารถเลือกเติมเวลาใดก็ได้ตามสะดวก เพราะไม่ว่าจะเติมในช่วงเวลาใด ก็ไม่มีผลใดๆ ต่อปริมาณน้ำมันที่ได้เลยแม้แต่น้อยครับ

ขับรถดื่มแอลกอฮอล์
ก่อนขับรถดื่มแอลกอฮอล์ได้แค่ไหน จึงจะไม่โดนจับ?

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

 ตามกฎหมายได้ระบุปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไว้ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หากเกินกว่านั้นจะถือว่าเมาแล้วขับ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ รวมถึงพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตเลยทีเดียว

ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า แล้วปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เนี่ย สามารถดื่มได้ขนาดไหน ซึ่งคุณสามารถจำง่ายๆ ดังนี้

1.สุรา ประมาณ 90 ซีซี ไม่ผสม หรือผสมในปริมาณ 1 ฝาต่อแก้ว จำนวนไม่เกิน 6 แก้ว หรือ

2.เบียร์ ประมาณ 2 กระป๋อง หรือ 2 ขวดเล็ก หรือ

3.เบียร์ไลท์ ประมาณ 4 ประป๋อง หรือ 4 ขวดเล็ก หรือ

4.ไวน์ ปริมาณต่อแก้ว 80 ซีซี ไม่เกิน 2 แก้ว

 ซึ่งปริมาณแอลกอฮอล์เหล่านี้ หากขับรถภาย 1 ชั่วโมงหลังจากดื่ม ปริมาณแอลกอฮอล์จะอยู่ต่ำกว่าระดับที่กฎหมายกำหนด แต่ทางที่ดีควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อยประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมงก่อนขับรถ พร้อมทั้งดื่มน้ำในปริมาณมากๆ เพื่อให้แอลกอฮอล์ถูกขับถ่ายมาทางปัสสาวะ อีกทั้งไม่ควรดื่มเครื่องดื่มหลายชนิดผสมกัน เพราะอาจทำให้เกิดความสับสนจนทำให้ปริมาณแอลกอฮอล์เกินกฎหมายกำหนดได้

แต่ถ้ามีทางเลือกอื่น เช่น กลับแท็กซี่, ให้เพื่อน (ที่ไม่ดื่ม) ขับรถแทน ฯลฯ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้มากโขครับ