Search for:
ไฟเตือนน้ำมัน
ปล่อยไฟเตือนน้ำมันโชว์บ่อยๆ ทำเครื่องพังจริงไหม?

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

ทราบหรือไม่ว่าการปล่อยให้น้ำมันเชื้อเพลิงเกลี้ยงถังบ่อยๆ นอกจากจะเสี่ยงทำให้รถดับกลางทางได้แล้วนั้น ยังอาจถึงขั้นทำให้ “ปั๊มติ๊ก” พัง ต้องเสียเงินค่าซ่อมโดยใช่เหตุอีกด้วย

โดยปกติแล้วในถังน้ำมันเชื้อเพลิงจะมีชิ้นส่วนที่เรียกว่า “ปั๊มเชื้อเพลิง” (Fuel Pump) หรือที่ภาษาช่างมักเรียกกันติดปากว่า “ปั๊มติ๊ก” เพื่อใช้ดูดน้ำมันเชื้อเพลิงในถังป้อนให้กับเครื่องยนต์ โดยการทำงานของปั๊มติ๊กจะทำให้มีเสียงดัง ติ๊กๆ จึงเป็นที่มาว่าทำไมถึงเรียกกันว่าปั๊มติ๊กนั่นเอง

ไฟเตือนน้ำมัน

ทีนี้การที่มีน้ำมันไหลผ่านปั๊มติ๊กจะช่วยให้ปั๊มติ๊กไม่ร้อนและมีการหล่อลื่นอยู่ตลอดเวลา แต่หากปล่อยให้น้ำมันเชื้อเพลิงเกลี้ยงถังอยู่บ่อยๆ จนเห็นไฟเตือนน้ำมันโชว์เป็นเรื่องปกตินั้น จะทำให้ปั๊มติ๊กทำงานหนักและระบายความร้อนได้ไม่ดี เมื่อบ่อยเข้าก็จะทำให้มอเตอร์พังและได้รับความเสียหายได้ จนกระทั่งปั๊มติ๊กหยุดการทำงานไปในที่สุด ผลก็คือ เครื่องยนต์ดับ สตาร์ทไม่ติด ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้แม้ในขณะรถกำลังเคลื่อนที่อยู่ก็ตาม

ส่วนการเปลี่ยนปั๊มติ๊กก็จะมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ประมาณ 8 ร้อยบาท ขึ้นไปจนถึง 5-6 พันบาท ขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น บางรุ่นสามารถเปลี่ยนเฉพาะมอเตอร์ได้ บางรุ่นจำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งชุดพร้อมลูกลอย แม้ว่าระยะเวลาในการเปลี่ยนจะไม่มากนัก (หากอู่มีอะไหล่พร้อมมักใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็เสร็จ) แต่เจ้าของรถมักจะเสียเวลาทั้งวันเนื่องจากไม่สามารถสตาร์ทเครื่องเพื่อขับไปยังอู่ได้นั่นเอง

ดังนั้น เพื่อเป็นการถนอมปั๊มติ๊ก ควรเติมน้ำมันให้ได้ระดับมากกว่า 1 ใน 4 ของถังทุกครั้ง และไม่ปล่อยให้น้ำมันพร่องจนไฟเตือนน้ำมันโชว์ กรณีรถใช้ก๊าซ LPG หรือ NGV ควรสลับมาใช้น้ำมันเป็นระยะ เพื่อให้ระบบฉีดจ่ายน้ำมันยังคงทำงานได้อย่างสมบูรณ์

แถบฟุตบาท
แถบฟุตบาทสีเหลือง-แดง-ดำ สีไหนจอดได้ สีไหนห้ามจอด?

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนคงเคยเห็นแถบสีบนฟุตบาท ทั้งสีดำ-ขาว สีเหลือง-ขาว สีแดง-ขาว หรืออาจไม่ทาสีใดๆ เลยก็มี แล้วทราบหรือไม่ว่าความหมายของฟุตบาทแต่ละสีแตกต่างกันอย่างไร สีไหนสามารถจอดรถได้ สีไหนจอดรถไม่ได้ วันนี้จะพาไปหาคำตอบกันครับ

ฟุตบาทสีดำ-ขาว

แถบฟุตบาท

ฟุตบาทสีดำขาวจะมีลักษณะเป็นสีดำสลับกับสีขาว จะถูกแสดงหรือทำให้ปรากฏบนขอบคันหินหรือสิ่งกีดขวางอื่นๆ เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนสามารถมองเห็นขอบคันหินหรือสิ่งกีดขวางนั้นๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยผู้ขับขี่สามารถจอดรถได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย เว้นที่พื้นที่ดังกล่าวถูกกำหนดเงื่อนไขการจอดเป็นอย่างอื่น เช่น จอดได้เฉพาะวันคู่-วันคี่ หรือจอดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น

นอกจากนี้ หากฟุตบาทสีดำสลับขาวปรากฏอยู่บนขอบทางสะพานหรืออุโมงค์ ไม่ได้แปลว่าผู้ขับขี่สามารถจอดรถได้แต่อย่างใด เนื่องจากการจอดรถบนสะพานหรืออุโมงค์ เป็นการกระทำที่ขัดต่อ พ.ร.บ จราจรทางบก พ.ศ.2522 มีความผิดตามกฎหมายนั่นเอง

ฟุตบาทสีเหลือง-ขาว

แถบฟุตบาท

ฟุตบาทสีเหลืองสลับขาว หมายความว่า ห้ามจอดรถทุกชนิดระหว่างแนวเขตที่กำหนด ยกเว้นการหยุดรับส่งคนหรือสิ่งของเพียงชั่วขณะ ซึ่งจะต้องกระทำโดยไม่ชักช้า เมื่อเสร็จแล้วต้องรีบขยับรถออกทันที

ฟุตบาทสีแดง-ขาว

 ฟุตบาทสีแดงสลับขาว หมายความว่า ห้ามหยุดรถหรือจอดรถทุกชนิดระหว่างแนวเขตที่กำหนดเป็นอันขาด ซึ่งส่วนมากจะพบได้บริเวณทางแยก และปากทางเข้าตรอกซอกซอย มิเช่นนั้นแล้วอาจเป็นการกีดขวางจราจร ทำให้รถคันอื่นไม่สามารถสัญจรไปมาได้อย่างสะดวก ก่อให้เกิดปัญหาจราจรตามมาได้

 รู้แบบนี้แล้วก็ควรปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ไม่จอดรถในพื้นที่ที่มีแถบฟุตบาทสีเหลืองสลับขาว หรือสีแดงสลับขาวอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นอาจทำให้เกิดความเดือดร้อนกับผู้ใช้ทางคนอื่นๆ ได้ครับ

หงายมือจับพวงมาลัย
ทำไมเลี้ยวรถถึงไม่ควร “หงายมือ” จับพวงมาลัยเด็ดขาด

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

 การจับพวงมาลัยด้วยท่าทางที่ถูกต้องถือเป็นปัจจัยพื้นฐานในการขับรถอย่างปลอดภัย เนื่องจากการจับพวงมาลัยอย่างผิดวิธี อาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้อย่างไม่คาดคิด เช่นเดียวกับการสอดมือเข้าไปในพวงมาลัยขณะกำลังเลี้ยวรถ ซึ่งถือเป็นการจับพวงมาลัยแบบผิดวิธีที่อาจก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ เพราะอะไร

ทำไมเลี้ยวรถจึงไม่ควรหงายมือสอดเข้าไปในพวงมาลัย?

แม้ว่าการหมุนพวงมาลัยด้วยการหงายมือจะเป็นท่าทางที่หลายคนถนัด แต่อันที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาด ด้วยเหตุผล 2 ประการ ดังนี้

1. ทำให้องศาการหมุนพวงมาลัยเป็นไปอย่างจำกัด เพราะแม้ว่าการหงายมือหมุนพวงมาลัยไปในทิศทางที่ต้องการจะทำได้ถนัดก็จริง แต่กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินที่ต้องดึงพวงมาลัยกลับไปยังทิศทางตรงกันข้าม จะไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากมือและแขนจะอยู่ในท่าทางที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการหมุนพวงมาลัยกลับ ต้องอาศัยการสลับมืออีกข้างเข้ามาช่วยแทน

2. แขนอาจได้รับอันตรายจากถุงลมนิรภัย เนื่องจากการหงายมือสอดเข้าไปยังพวงมาลัย จะทำให้ช่วงปลายแขนอยู่ในตำแหน่งตรงกับถุงลมนิรภัยพอดี หากว่ามีการชนปะทะเกิดขึ้น การพองตัวออกอย่างรุนแรงของถุงลมนิรภัยอาจทำให้ผู้ขับขี่ได้รับบาดเจ็บได้

หงายมือจับพวงมาลัย

การจับพวงมาลัยที่ถูกต้องทำอย่างไร?

1. มือซ้ายควรอยู่ในตำแหน่ง 9 นาฬิกา และมือขวาอยู่ในตำแหน่ง 3 นาฬิกาเสมอ เนื่องจากมือจะถูกล็อกโดยก้านพวงมาลัย ช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้อย่างเต็มที่

2. แขนต้องงอเล็กน้อย ไม่เหยียดตึง เนื่องจากจะทำให้ผู้ขับขี่ควบคุมพวงมาลัยได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งกรณีเกิดการชนอย่างรุนแรง อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บของแขนเพิ่มขึ้นได้

3. หลีกเลี่ยงการขับรถมือเดียวโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะใช้ความเร็วสูง เพราะหากมีการตกหลุมหรือจั๊มป์คอสะพาน จะทำให้ผู้ขับขี่ไม่สามารถประคองพวงมาลัยได้อย่างเต็มที่ อาจส่งผลให้รถเกิดการเสียหลักได้

หากผู้ขับขี่สามารถปฏิบัติได้ตามข้อแนะนำข้างต้นนี้แล้วล่ะก็ เชื่อว่าจะช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ไม่น้อยทีเดียวครับ

หนวดยางรถยนต์
รู้หรือไม่? “หนวดยางรถยนต์” มีไว้ทำอะไร

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

เวลาที่เราเปลี่ยนยางรถยนต์เส้นใหม่ หลายคนคงสังเกตเห็นว่าพื้นผิวของยางจะมีหนวดยางขึ้นตะปุ่มตะป่ำเต็มไปหมด แล้วคุณเคยสงสัยบ้างไหมว่าหนวดยางดังกล่าวมีไว้ทำอะไร แล้วถ้าเราดึงออกจะส่งผลต่อการขับขี่หรือไม่?

หนวดยาง หรือ ขนยาง มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Vent spews จะพบเห็นได้บนยางใหม่ที่เพิ่งเปลี่ยนมาได้ไม่นาน ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าหนวดยางเป็นตัวชี้วัดว่ายางเส้นดังกล่าวเป็นยางใหม่ถอดด้ามจากโรงงานหรือไม่ (ซึ่งก็บอกได้จริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ดังกล่าวโดยตรง) หรือบางคนก็เข้าใจผิดว่าเป็นส่วนที่ทำให้ยางเงียบลงขณะขับขี่ก็มี

หนวดยางรถยนต์

 แท้ที่จริงแล้วหนวดยางดังกล่าวถือเป็นส่วนเกินจากกระบวนการผลิตยางนั่นเอง เนื่องจากการขึ้นรูปยางแต่ละเส้นนั้น จำเป็นต้องมีรูระบายอากาศขนาดเล็กจำนวนมากเพื่อช่วยให้ยางออกมากลมสมบูรณ์อย่างที่เห็นกัน ซึ่งหนวดยางก็คือยางส่วนที่หลงเหลือจากรูระบายดังกล่าวนั่นเอง จึงไม่มีผลใดๆ ต่อการขับขี่ทั้งสิ้น

มาถึงจุดนี้คุณผู้อ่านหลายท่านก็อาจสงสัยว่าแล้วทำไมผู้ผลิตยางจึงไม่ตัดหนวดยางเหล่านี้ออกเสียล่ะ? ก็เพราะว่ามันจะกลายเป็นขั้นตอนที่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุไงล่ะครับ เนื่องจากสุดท้ายแล้วหนวดยางเหล่านี้ก็จะหลุดไปเองตามการใช้งานอยู่ดี แถมยังเป็นตัวบ่งบอกว่ายางเส้นนั้นเป็นยางใหม่จากโรงงานได้อีกต่างหาก

 ส่วนใครที่เห็นแล้วรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะดึงออกก็ไม่ต้องห่วงครับ เพราะต่อให้ดึงหนวดยางออกจนโล้นก็ไม่มีผลต่อการขับขี่แต่อย่างใด

ขับเกียร์ออโต้
ขับเกียร์ออโต้ใช้เท้าเดียวหรือทั้งสองเท้า?

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

 กรณีเป็นรถยนต์เกียร์ธรรมดามักไม่มีปัญหาเรื่องนี้อยู่แล้ว เนื่องจากผู้ขับขี่จำเป็นต้องใช้เท้าซ้ายในการควบคุมแป้นคลัทช์ เท้าขวาจึงถูกใช้สลับกันไปมาระหว่างแป้นคันเร่งและเบรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สำหรับเกียร์ออโต้ที่มีเพียง 2 แป้น คือ แป้นคันเร่งและแป้นเบรกนั้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่ใช้เท้าทั้งสองข้างในการควบคุมรถ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้มากกว่าที่คิด

นั่นเป็นเพราะการใช้เท้าขวาเหยียบคันเร่ง และเท้าซ้ายเหยียบเบรก อาจทำให้มีโอกาสที่ผู้ขับขี่จะเหยียบแป้นคันเร่งและแป้นเบรกไปพร้อมๆ กัน จะเห็นได้จากที่รถบางคันมีไฟเบรกสว่างขึ้นค้างไว้ตลอด แม้ว่ารถจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่ได้มีการชะลอความเร็วลงก็ตาม ซึ่งกรณีนี้เป็นอันตรายต่อรถที่วิ่งตามมาข้างหลัง เนื่องจากไม่ทราบแน่ชัดว่ารถมีการเบรกจริงๆ เมื่อใด

ขับเกียร์ออโต้

 อีกกรณีหนึ่งที่ควรระวัง คือ หากเกิดกรณีฉุกเฉินที่ต้องหยุดรถกะทันหัน อาจเผลอเหยียบแป้นคันเร่งและแป้นเบรกไปพร้อมๆ กัน ทำให้ใช้ระยะเบรกมากกว่าที่ควรจะเป็น และอาจลงเอยด้วยอุบัติเหตุในที่สุด

ดังนั้น การขับรถเกียร์ออโต้อย่างปลอดภัย ควรใช้เท้าขวาเพียงเท้าเดียวในการควบคุมคันเร่งและเบรก จะได้ไม่มีปัญหาในการควบคุมความเร็วของตัวรถ (เร่งคือเร่ง เบรกคือเบรก ไม่สับสน) และช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจ

อย่างไรก็ดี พฤติกรรมการใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรกส่วนมากเป็นความเคยชินที่ปฏิบัติต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มขับรถใหม่ๆ ดังนั้น ผู้ที่เริ่มหัดขับรถควรใช้เท้าขวาเท้าเดียวในการสลับเหยียบระหว่างแป้นคันเร่งและแป้นเบรก จะได้ไม่ต้องมาคอยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในภายหลังครับ

รถกินน้ำมัน
4 สาเหตุทำให้รถกินน้ำมันผิดปกติ และวิธีแก้ไขด้วยตัวเอง

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

แม้ว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ารถที่วิ่งกันส่วนใหญ่บนท้องถนนยังคงเป็นรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ กลายเป็นพลังงานให้รถเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ในแต่ละวัน

แต่เมื่อรถของคุณผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่ง อาจรู้สึกว่าเครื่องยนต์กินน้ำมันเพิ่มมากขึ้น ปัญหาดังกล่าวเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง  จะพาไปหาคำตอบกัน

4 สาเหตุที่ทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าปกติ อาจมีที่มาดังนี้

1. น้ำมันเครื่องและไส้กรองเสื่อมคุณภาพ

รถกินน้ำมัน

หากว่าเจ้าของรถไม่ได้นำรถเข้ารับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองตามระยะที่กำหนด จะส่งผลให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากความหนืดของน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงน้ำมันเครื่องที่เสื่อมสภาพจะลดทอนประสิทธิภาพในการหล่อลื่นของเครื่องยนต์ จนทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

ทางที่ดีเจ้าของรถควรเข้ารับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้อย่างสม่ำเสมอ เพราะนอกจากจะช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้ยาวนานขึ้นด้วย

2. ไส้กรองอากาศอุดตัน

ไส้กรองอากาศเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการกรองฝุ่นและสิ่งแปลกปลอมในอากาศก่อนที่จะถูกดูดเข้าไปยังห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ โดยออกซิเจนในอากาศถือเป็นตัวแปรสำคัญในกระบวนการเผาไหม้ไม่แพ้น้ำมันเชื้อเพลิง หากว่าไส้กรองมีสิ่งสกปรกติดค้างอยู่เป็นจำนวนมาก ก็ส่งผลให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ

วิธีการตรวจสอบและแก้ไขด้วยตัวเองทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ตรวจเช็กไส้กรองอากาศว่ามีสิ่งสกปรกมากน้อยแค่ไหน และสามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ด้วยการใช้เครื่องเป่าลมแรงสูงเป่าฝุ่นที่จับตัวอยู่ให้เหลือน้อยที่สุด อีกวิธีหนึ่งคือการเปลี่ยนไส้กรองใหม่ ซึ่งปัจจุบันสามารถหาซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ในราคาหลักร้อยบาทเท่านั้น

3. ระบบจุดระเบิดและระบบจ่ายเชื้อเพลิงมีปัญหา

รถกินน้ำมัน

อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น หัวเทียนเกิดการชำรุดเนื่องจากใช้งานมาอย่างยาวนาน, จังหวะการจุดระเบิดไม่ถูกต้อง, คอยล์จุดระเบิดมีปัญหา ฯลฯ ซึ่งกรณีเหล่านี้มักมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เครื่องยนต์สั่น, เบาดับ, เร่งไม่ออก เป็นต้น

อีกกรณีที่พบได้บ่อยคือระบบหัวฉีดน้ำมันเกิดการอุดตัน ไม่สามารถฉีดน้ำมันให้เป็นละอองละเอียด หรือมีการรั่วของหัวฉีด จึงไม่สามารถจ่ายน้ำมันได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งนอกจากจะทำให้สมรรถนะของเครื่องยนต์ลดลงแล้ว ยังส่งผลให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นด้วย ทางที่ดีหากพบว่าเครื่องยนต์มีอาการผิดปกติ เช่น เครื่องยนต์สั่น, เร่งไม่ออก, เร่งรอบสูงแล้วดับ, มีไฟรูปเครื่องยนต์โชว์บนหน้าปัด ฯลฯ ควรนำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามบานปลาย

4. พฤติกรรมของผู้ขับขี่และสภาพการจราจรที่เปลี่ยนไป

พฤติกรรมการขับขี่รถยนต์ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่ออัตราสิ้นเปลืองที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น หากว่าผู้ขับขี่อยู่ในภาวะรีบ มีอารมณ์ร้อน ต้องการไปถึงจุดหมายโดยเร็ว ก็มักจะเร่งออกตัวอย่างรุนแรง ใช้ความเร็วสูงในการเดินทาง ทำให้รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย อีกทั้งช่วงเวลาที่ใช้เดินทางก็ยังมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองด้วยเช่นกัน เช่น หากออกจากบ้านไปทำงานในชั่วโมงเร่งด่วน ส่งผลให้ต้องเผชิญกับสภาพการจราจรติดขัดอย่างหนัก ใช้เวลาบนถนนนานหลายชั่วโมง ก็จะทำให้รถสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มมากขึ้น

วิธีแก้ไขสามารถทำได้ง่ายๆ โดยเผื่อเวลาออกจากบ้านไปยังจุดหมายให้มากกว่าปกติ จะช่วยให้ขับรถโดยไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รวมถึงการขับรถไปทำงานในช่วงเวลาเช้าและเย็น หากสามารถขยับเวลาเดินทางโดยหลีกเลี่ยงช่วงเร่งด่วนได้ ก็จะช่วยลดปัญหารถติด และส่งผลให้รถกินน้ำมันน้อยลงได้นั่นเอง

 นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่ออัตราสิ้นเปลืองได้ เช่น แรงดันลมยางต่ำกว่าปกติ, บรรทุกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากโดยไม่จำเป็น, การปรับอุณหภูมิแอร์เย็นเกินไป ฯลฯ จึงควรหมั่นเช็กสภาพรถยนต์ให้เป็นปกติอยู่เสมอ จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันขึ้นได้ไม่มากก็น้อยครับ

ขับรถกระบะ
ผู้หญิง สามารถขับรถกระบะได้ไหม?

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

รถกระบะผู้หญิงสามารถขับได้ไหม

 รถกระบะ ถือเป็นรถยนต์อีกหนึ่งประเภทที่นิยมใช้กันอย่างมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่จะนิยมออกรถกระบะมากกว่ารถเก๋ง และรถประเภทอื่นๆ ซึ่งรถกระบะในปัจจุบันมีทั้งแบบ 2 ประตูและ 4 ประตู พร้อมทั้งยังเหมาะคนพ่อค้าแม่ค้า หรือ คนที่ต้องการพื้นที่และรถยนต์ในการบรรทุกสินค้าต่างๆ รถกระบะจึงเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการได้เป็นอย่างดี ซึ่งราคาของแต่ละรุ่นก็มีความแตกต่างกันออกไปโดยเริ่มต้นที่ 6 แสนถึง 1 ล้านบาทต่อคันอีกทั้งยังมีการพัฒนารถกระบะให้มีความทนทานพร้อมการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกับเกียร์แบบกระปุก และ เกียร์อัตโนมัติ ซึ่งคงมีหลายคนสงสัยกันว่า ผู้หญิงจะสามารถขับรถกระบะได้หรือไม่ และจะขับยาก หรือ แตกต่างจากรถเก๋งปกติอย่างไร

คำตอบคือ เป็นผู้หญิงก็สามารถขับรถกระบะได้ เนื่องจากการขับรถกระบะก็เช่นเดียวกับการขับรถทั่วไป แต่ในส่วนของรถกระบะจะมีลักษณะที่แตกต่างกันอยู่ ซึ่งใครที่ไม่ถนัดหรือยังไม่คุ้นชินก็อาจจะมองว่าการขับรถกระบะนั้นยาก เนื่องจากคนใช้รถกระบะส่วนใหญ่จะนิยมใช้เป็นรูปแบบของเกียร์กระปุกซะมากกว่า เนื่องจากความเร็วของการเปลี่ยนเกียร์นั้นมีมากกว่าระบบเกียร์ออร์โต้ อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับลักษณะในการใช้งานของรถยนต์ว่าเราต้องการใช้งานแบบไหน เนื่องจากรถเก๋งปกติ และรถกระบะนั้นมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากสำหรับตัวรถ จึงทำให้หลายคนบอกว่าการขับรถกระบะนั้นยาก

ทำความรู้จักรถกระบะ ต่างจากรถยนต์ปกติอย่างไร

ขับรถกระบะ

ตัวเครื่องยนต์


น้ำหนักของเครื่องยนต์จะมีน้ำหนักที่ค่อนข้างหนักกว่ารถยนต์ทั่วไป ซึ่งรถกระบะส่วนใหญ่จะมีขนาดเครื่องยนต์อยู่ที่ 2,000 CC ขึ้นไป

น้ำหนักของรถยนต์

หนักของรถยนต์ก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากรถกระบะจะเป็นรถที่เน้นการใช้งานโดยเฉพาะ อาจจะต้องบรรทุกของ หรือเดินทางไปในพื้นที่ที่ค่อนข้างสมบุกสมบรร หรือใช้งานหนักกว่ารถยนต์ทั่วไป ดังนั้งตัวโครงสร้างของรถกระบะจึงจะค่อนข้างหนักและแข็งแรกกว่ารถปกติเพื่อเน้นการใช้งานทำให้อาจรู้สึกว่าขับรถกระบะยากกว่าปกติ

ลักษณะตัวรถกระบะ


ในรถยนต์ทั่วไปในปัจจุบันประเภทรถเก๋ง หรือ รถบ้านทั่วๆไปแล้วนั้นจะมีหลากหลายรูปแบบทั้งแบบหน้าสั้น หรือ รถยนต์ที่มีลักษณะด้านหลังสั้น ทำให้การเข้าจอด หรือ การใช้พื้นที่ในการจดน้อยกว่า ซึ่งรถกระบะจะมีความยาวที่ค่อนข้างมากกว่าของตัวรถ รวมถึงในทุกวันนี้รถกระบะจะมีรูปแบบการยกตัวรถที่สูงขึ้น ทำให้รถกระบะลักษณะของตัวรถที่ใหญ่กว่ารถทั่วไปนั่นเอง แต่ทางเปรียบเทียบให้เห็นภาพการขับรถกระบะก็เทียบเท่ากับการขับรถบ้านคันใหญ่ๆ อย่าง CRV นั่นเอง

ลักษณะเกียร์


เกียร์ที่เรารู้จักกันจะมีเกียร์อยู่ 2 รูปแบบคือ เกียร์กระปุก และ เกียร์ออโต้ ซึ่งสาวๆ ส่วนมากที่ขับขี่รถยนต์ในปัจจุบันจะเคยชินกับการขับรถยนต์ด้วยระบบเกียร์ออโต้มากกว่า เนื่องจากสะดวกสบายต่อการขับขี่มากกว่าการใช้เกียร์กระปุก แต่ถ้าหากสาวๆ คนไหนเคยขับเกียร์กระปุกมากก่อนและสามารถขับขี่รถได้ทั้ง 2 เกียร์การขับรถกระบะก็ไม่ใช่เรื่องยากของสาวๆ เลยละครับ

ผ่อนรถไม่ไหว
3 วิธีหาก “ผ่อนรถไม่ไหว” ไม่ถูกยึดรถ-ไม่ติดแบล็กลิสต์ ทำอย่างไรบ้าง?

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

ชื่อว่าหลายคนกำลังประสบปัญหาผ่อนรถไม่ไหว เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ครั้นจะปล่อยให้ไฟแนนซ์ยึดไป ก็จะเจอปัญหาอีกมากมายซ้ำเติมเข้าไปอีก Sanook Auto จึงขอแนะนำ 3 ทางออกสำหรับใครที่มีปัญหาผ่อนรถไม่ไหวอยู่ในขณะนี้กันครับ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าการปล่อยให้ไฟแนนซ์ยึดรถ ไม่ใช่การเคลียร์หนี้ให้กลายเป็นศูนย์แต่อย่างใด เพราะนอกจากคุณจะถูกขึ้นแบล็กลิสต์มีประวัติเสียในเครดิตบูโรแล้วนั้น รถที่โดนยึดไปจะถูกขายทอดตลาดในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง จากนั้นลูกหนี้ก็ยังจำเป็นต้องจ่ายยอดหนี้ส่วนเหลือหลังจากขายทอดตลาดอีก หากไม่จ่ายก็จะถูกฟ้องร้องกลายเป็นคดีความตามมาอีกต่อหนึ่ง เรียกได้ว่ามีแต่เสียกับเสีย

อย่างไรก็ดี คุณสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวได้ โดยใช้วิธีเหล่านี้

ผ่อนรถไม่ไหว

1.ปรับปรุงโครงสร้างหนี้

 ไฟแนนซ์-ลีสซิ่งหลายแห่งมีมาตรการ “ปรับปรุงโครงสร้างหนี้” โดยจะนำยอดหนี้ที่เหลือมาคำนวณและขยายระยะเวลาการผ่อนออกไป ซึ่งจะทำให้ยอดผ่อนในแต่ละเดือนลดลง (แต่ผ่อนนานขึ้น) ซึ่งข้อเสียก็คือดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แลกกับการที่คุณยังคงมีรถไว้ใช้ และไม่กระทบถึงเครดิตทางการเงินอีกด้วย

2.เปลี่ยนสัญญา-ขายดาวน์

วิธีนี้ถือเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม โดยคุณสามารถเปลี่ยนสัญญาไปให้ผู้อื่นผ่อนต่อได้ หากยอดหนี้ที่เหลือต่ำกว่าราคาตลาดในขณะนั้น คุณยังสามารถเรียกเงินดาวน์มาเป็นเงินก้อนไว้ใช้จ่ายได้อีกด้วย แต่หากยอดหนี้มากกว่าแล้วล่ะก็ คุณอาจจำเป็นต้องยอมขายแบบขาดทุนสักหน่อย แลกกับการไม่เสียประวัติทางการเงินนั่นเอง

แต่สำคัญที่สุด คือ คุณห้ามนำรถไปขายต่อให้ผู้อื่นโดยไม่เปลี่ยนสัญญาอย่างเด็ดขาด เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะถูกเบี้ยวค่างวดและเชิดรถหนีไปแบบดื้อๆ สุดท้ายก็จะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบเองอยู่ดี รวมถึงไม่นำรถไปจำนำเถื่อน (ประเภทจอดรถไว้แต่ไม่วางเล่มเพื่อนำเงินออกมา) เพราะกรรมสิทธิ์ของตัวรถยังคงเป็นของไฟแนนซ์ ผู้ครอบครองไม่สามารถนำไปจำนำหรือขายต่อโดยพลการได้

3.เจรจาโดยตรงกับไฟแนนซ์-ลีสซิ่ง

ปัจจุบันด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไฟแนนซ์และลีสซิ่งหลายแห่งต่างก็มีมาตรการรองรับลูกค้าที่ประสบปัญหาการชำระแตกต่างกันออกไป บางแห่งยินยอมให้คุณหยุดพักค่างวดไว้ชั่วคราว บางแห่งสามารถชำระเฉพาะดอกเบี้ยได้ ทางที่ดีควรติดต่อขอรับข้อมูลกับไฟแนนซ์ที่ใช้บริการโดยตรง เพื่อดูว่ามีทางออกอย่างไรบ้าง

รู้แบบนี้แล้ว ถ้าใครกำลังประสบปัญหามืดแปดด้านอยู่ในขณะนี้ ก็ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ดู เรื่องหนักจะได้กลายเป็นเบานั่นเองครับ

ตรวจแอลกอฮอล์
ถูกเรียกตรวจแอลกอฮอล์แต่ไม่ยอมเป่า ยุคนี่ยังถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่?

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

จากกรณีอุบัติเหตุรถเบนท์ลีย์เฉี่ยวชนรถปาเจโร่และรถอาสาดับเพลิงบนทางด่วนเฉลิมมหานคร ก่อนที่คนขับรถเบนท์ลีย์จะอ้างว่ามีอาการเจ็บหน้าอก ไม่สามารถเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ณ จุดเกิดเหตุได้นั้น กรณีเช่นนี้ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายหรือไม่?

ปัจจุบันการฝ่าฝืนไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ มีความผิดข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2542 มาตรา 142 วรรคสอง ในกรณีที่เจ้าพนักงานเห็นว่าผู้ขับขี่ฝ่าฝืนมาตรา 43 (1) หรือ (2) ให้เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ดังกล่าวว่าหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ หรือเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นหรือไม่ โดยบทกำหนดโทษเป็นไปตาม มาตรา 154 (3) ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 142 วรรคสอง ต้องระวางปรับครั้งละไม่เกิน 1,000 บาท

 นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ที่ฝ่าฝืนไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์จะถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นขับขี่รถในขณะเมาสุรา แม้ไม่ยอมทดสอบก็ตาม โดย พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2542 มาตรา 142 วรรคสอง ได้บัญญัติว่า ในกรณีที่มีพฤติการณ์อันควรเชื่อว่าผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น หากผู้น้ันยังไม่ยอมให้ทดสอบตามวรรคสามโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้น้ันฝ่าฝืน มาตรา 43 (2)

ตรวจแอลกอฮอล์

กรณีเช่นนี้ผู้ขับขี่จะมีความผิดในข้อหาขับขี่รถในขณะเมาสุรา ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2542 มาตรา 43 (2) ซึ่งห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าหกเดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ดังนั้น หากผู้ขับขี่ถูกเรียกตรวจปริมาณแอลกอฮอล์แต่ฝ่าฝืนไม่ยอมเป่า ก็จะเข้าข่ายความผิดข้อหาเมาแล้วขับแม้ว่าจะไม่เป่าก็ตาม อาจรับโทษสูงสุดถึงขั้นจำคุก รวมถึงถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบขับขี่อีกด้วย

เมาแล้วขับ
อัปเดตข้อหา “เมาแล้วขับ” ต้องดื่มหนักแค่ไหน และมีโทษอย่างไรบ้าง?

โรงเรียนสอนขับรถนัมเบอร์วัน ไดร์ฟ NUMBER ONE DRIVE SCHOOL สถานที่ตั้งเลขที่ 228 หมู์ที่ 8 ตําบลหนองหญ้าลาด อําเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ 33110
โทรศัพท์ : 065 598 3693

 อัปเดตล่าสุด! กระทำผิดข้อหา “เมาแล้วขับ” ปี 2566 มีโทษจำคุก 1 ปี ปรับสูงสุด 20,000 บาท หากกระทำผิดซ้ำซ้อนเป็นครั้งที่ 2 เพิ่มโทษปรับสูงสุด 1 แสนบาท จำคุกไม่เกิน 2 ปี และอาจถึงขั้นถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ข้อหา “เมาแล้วขับ” มีโทษอย่างไรบ้าง

หากถูกเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดในขณะขับรถ จะต้องรับโทษหนัก-เบาแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่การเสียค่าปรับ การถูกจำคุก การถูกพักใช้ใบขับขี่ และการถูกเพิกถอนใบขับขี่

– กรณีกระทำผิด “เมาแล้วขับ” ครั้งแรก จะต้องถูกระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

– กรณีกระทำผิดซ้ำในข้อหา “เมาแล้วขับ” ภายในระยะเวลา 2 ปี จะเพิ่มอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับตั้งแต่ 50,000 – 100,000 บาท โดยศาลจะลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ ถูกพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนใบขับขี่ ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565

เมาแล้วขับ

“เมาแล้วขับ” จนประสบเหตุ มีโทษหนักยิ่งกว่า

– กรณีเมาแล้วขับ จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ จะถูกระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 – 5 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000 – 100,000 บาท และถูกพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือถูกเพิกถอนใบขับขี่

– กรณีเมาแล้วขับ จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส จะถูกระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 – 6 ปี ปรับตั้งแต่ 40,000 – 120,000 บาท และให้ศาลพักใช้ใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบขับขี่

– กรณีเมาแล้วขับ จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จะถูกระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 – 10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท และถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที

เมาแล้วขับ

เมาแล้วขับ ต้องมีปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดเท่าไหร่

จากเดิมที่กำหนดให้ผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดได้ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หากเกินจะถือว่าเป็นการเมาแล้วขับ แต่กฎกระทรวงฉบับที่ 21 พ.ศ. 2550 ได้เพิ่มเงื่อนไขล่าสุดบังคับใช้กับผู้ขับขี่ 4 ประเภท หากพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่า 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถือว่าเมาแล้วขับ ดังนี้

  • ผู้ขับขี่ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี
  • ผู้ขับขี่ที่ถือใบขับขี่ชั่วคราว (แบบ 2 ปี)
  • ผู้ขับขี่ที่มีใบขับขี่ประเภทอื่น ใช้แทนกันไม่ได้
  • ผู้ขับขี่ที่อยู่ระหว่างการพักใช้ หรือถูกเพิกถอนใบขับขี่
  • ผู้ขับขี่ “เมาแล้วขับ” ประกันภัยไม่จ่าย
  • การคุ้มครองประกันภัยกรณีเมาแล้วขับแล้วประสบอุบัติเหตุ มีเงื่อนไขแตกต่างกันไปทั้งประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และภาคสมัครใจ

สำหรับประกันภัยภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. จะคุ้มครองผู้เอาประกันและคู่กรณีโดยไม่พิสูจน์ความถูกหรือผิด โดยจะคุ้มครองเฉพาะค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น ไม่รวมถึงค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวรถและทรัพย์สินแต่อย่างใด

ส่วนประกันภัยภาคสมัครใจ หากพบว่าผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ บริษัทประกันภัยจะคุ้มครองเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคู่กรณีเท่านั้น โดยไม่คุ้มครองฝั่งผู้ที่เมาแล้วขับแต่อย่างใด แม้ว่าจะเป็นประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ก็ตาม หากแม้ว่ามีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเกิดขึ้น บริษัทประกันอาจเรียกเงินที่จ่ายคืนกลับมาได้

 ทั้งนี้ การขับขี่พาหนะในขณะมึนเมาสุราเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ที่อาจสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและผู้ร่วมทางได้ อีกทั้งผู้ขับขี่ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กำหนดยังไม่ได้รับความคุ้มครองจากประกันภัยภาคสมัครใจที่ตกลงทำไว้กับบริษัทประกัน แม้ว่าจะเป็นประกันชั้น 1 ก็ตาม ดังนั้นหากรู้ว่าตนเองมีอาการมึนเมาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหลีกเลี่ยงการขับขี่พาหนะโดยเด็ดขาด