Search for:
ฮวงจุ้ยรถยนต์
ฮวงจุ้ย

5 ข้อ ฮวงจุ้ยรถยนต์

ฮวงจุ้ย คือ ศาสตร์ความเชื่อที่อยู่คู่กับคนเรามาอย่างยาวนานว่าเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมดวงชะตาให้ชีวิตพบกับความโชคดี ซึ่งนอกจากฮวงจุ้ยบ้านแล้ว เรื่องของ “ฮวงจุ้ยรถยนต์” ก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถหลายท่านให้ความสนใจ เพราะจะนำพาความเป็นสิริมงคลเข้ามาในชีวิต วันนี้เรา NumberOne Drive School โรงเรียนสอนขับรถ จะพาไปดูกันว่ามีวิธีเสริมฮวงจุ้ยรถยนต์อย่างไรบ้างที่คุณเองก็สามารถทำได้ง่าย ๆ

1. จัดท่านั่งขับรถให้ดูดี

การจัดท่านั่งขับรถที่ถูกต้องและดูดีจะช่วยเสริมฮวงจุ้ยให้กับรถและตัวคุณได้ ควรนั่งให้ก้นชิดเต็มเบาะ ปรับพนักพิงหลังให้ตั้งตรง คาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งจะทำให้การขับขี่ดูมั่นคงและยังช่วยเสริมบุคลิกของผู้ขับให้ดูดี จะช่วยให้ผู้ขับมองเห็นเส้นทางอย่างชัดเจน และสามารถขับขี่รถได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

2. พกขวดน้ำดื่ม

การมีขวดน้ำดื่มไว้ในรถ นอกจากจะช่วยดับกระหาย เพิ่มความสดชื่นในระหว่างเดินทางแล้ว การมีน้ำอยู่ภายในรถจะมีความหมายถึงความบริสุทธิ์ อุดมสมบูรณ์ สดชื่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มพลังงานบวกและช่วยเสริมเรื่องโชคลาภด้วย ที่สำคัญควรเป็นน้ำเปล่าบริสุทธิ์ ปราศจากน้ำตาลและสารปรุงแต่ง เพื่อมอบความบริสุทธิ์กายบริสุทธิ์ใจทุกครั้งที่เดินทาง และควรระมัดระวังเรื่องของการวางขวดน้ำไว้ใกล้กระจก หรือมีแดดส่องรุนแรง จนอาจจะกลายเป็นเลนส์ที่ก่อให้เกิดเพลิงไหม้ได้ อีกทั้งไม่ควรวางขวดน้ำไว้ที่พื้นเพราะอาจจะหลุดไหลเข้าไปขัดระบบเบรกหรือคันเร่งได้

3. สร้างบรรยากาศด้วยเพลง

ในระหว่างขับรถ การฟังเพลงดี ๆ ก็ช่วยสร้างความรู้สึกตื่นตัวทางด้านร่างกายและอารมณ์ ซึ่งเพลงจะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้เพิ่มสมาธิในการขับขี่มากยิ่งขึ้น เพราะสมองจะรู้สึกปลอดโปร่ง บวกกับจิตใจที่เพลิดเพลินไปกับเสียงเพลง แต่อย่าเปิดเสียงดังเกินไปเพราะจะส่งผลร้ายมากกว่าดี ควรเปิดในความดังที่ปกติ

4. พกเครื่องรางหรือพระไว้ที่รถ

เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่ใครหลายคนนิยม เพราะทำให้รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งในการขับขี่ และถือเป็นสัญลักษณ์ที่คอยเตือนสติ ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจไม่จำเป็นจะต้องเป็นเครื่องรางของขลังหรือพระไว้ที่รถก็ได้ ขอแค่เป็นสิ่งที่คุณนับถือหรือเชื่อว่าสามารถสร้างพลังบวกให้กับตัวเอง ก็สามารถพกติดรถไว้ได้เช่นกัน

5.เลือกสีรถให้ถูกโฉลก

นอกจากการปรับตามหลักฮวงจุ้ยที่ตัวรถแล้ว เรื่องของคนกับสีรถที่เลือกใช้ก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งหากคิดจะเปลี่ยนรถใหม่สักคัน ควรเลือกสีรถที่ถูกโฉลกกับตัวเอง เพราะจะช่วยเสริมดวงในเรื่องต่าง ๆ ทั้งเรื่องการเงิน การงาน สุขภาพ และความรักได้ ไม่ว่าจะเป็น สีรถตามวันเกิด หรือ สีรถตามปีเกิด และยังช่วยเสริมพลังให้กับผู้ขับขี่อีกด้วย

5 ข้อควรหลีกเลี่ยง ไม่ให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมก่อนกำหนด
5 ข้อควรหลีกเลี่ยง ไม่ให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมก่อนกำหนด

5 ข้อควรหลีกเลี่ยง ไม่ให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมก่อนกำหนด โดย NumberOne Drive School โรงเรียนสอนขับรถ

สาเหตุที่ทำให้รถยนต์เสียและสตาร์ทไม่ติดที่พบบ่อยที่สุดก็คือแบตเตอรี่เสื่อมสภาพอายุการใช้งานของแบตเตอรี่คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด แต่พฤติกรรมการใช้งานของผู้ขับขี่เองก็มีส่วนสำคัญเพราะเป็นตัวแปรที่ทำให้อายุการใช้งานสั้นลงหรือยาวนานยิ่งขึ้น ไม่ต้องเสียสตางค์ซื้อแบตเตอรี่ลูกใหม่บ่อยเกินไป

เราจึงขอแนะนำ 5 ข้อควรหลีกเลี่ยงหากไม่ให้แบตเตอรี่รถยนต์สิ้นอายุใช้งานก่อนกำหนดมาฝาก

1.ขับขี่ใกล้ ๆ บ่อยครั้งเกินไป

หากเพิ่งซื้อรถมาเพื่อจ่ายตลาด เน้นขับขี่อยู่แต่ละแวกแถวที่พักอาศัยด้วยระยะทางวันละไม่เกิน 2-3 กิโลเมตร แนะนำให้หาโอกาสขับขี่ระยะทางไกลมากขึ้น เพื่อให้แบตเตอรี่ได้รับการประจุชาร์จไฟอย่างเต็มกำลัง

สำหรับความเชื่อที่ว่าการจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ ควรหาเวลามาสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้นั้น จริง ๆ แล้วไม่ค่อยได้ผลนัก เนื่องจากการชาร์จแบตเตอรี่ให้ได้ผลอย่างเต็มที่ ต้องใช้รอบเครื่องยนต์ที่สูงพอประมาณ

2. ปล่อยให้แบตเตอรี่หมดบ่อยเกินไป

“สายจอด” ต้องประสบปัญหารถสตาร์ท และต้องจั๊มแบตเตอรี่บ่อยครั้ง พฤติกรรมนี้จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร เพราะการจั๊มแบตเตอรี่เปรียบเสมือนการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่การดูแลรักษาที่ดีเลย

ดังนั้น ย้อนกลับไปที่ข้อ 1 คุณควรหาเวลาขับขี่รถยนต์ด้วยความเร็วพอประมาณและบนระยะทางที่ไกลพอสมควร เพื่อประจุชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่

3. ชอบลืมปิดไฟหน้ารถ

รถยนต์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่มีฟังก์ชั่นดับไฟหน้าอัตโนมัติหรือสัญญาณเตือนปิดไฟหน้ารถแล้ว แต่ยังมีรถยนต์อีกหลายรุ่นที่ไม่มีการแจ้งเตือนใด ๆ หรือบางครั้งผู้ขับขี่เองก็ลืมหมุนสวิทช์ปิดไฟถึงแม้จะมีสัญญาณเตือนแล้วก็ตาม

ขณะเดียวกัน บางครั้ง กล้องติดหน้ารถก็อาจทำงานผิดพลาดหรือกินไฟจากแบตเตอรี่ตลอดเวลา ดังนั้น ควรหมั่นตรวจเช็คการทำงานของระบบอิเลคโทรนิคหรือระบบไฟในตัวรถเป็นประจำ

4. ละเลยกับสัญญาณเตือนของแบตเตอรี่

ส่วนใหญ่แล้ว แบตเตอรี่จะไม่หมดอย่างกะทันหัน แต่จะเริ่มส่งสัญญาณให้เราได้ทราบกันก่อนซึ่งไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอาการสตาร์ทเครื่องยนต์ติดยากมากขึ้น ระดับไฟส่องสว่างในรถยนต์และไฟหน้าที่อ่อนลงก็เป็นสัญญาณเช่นกัน

5. ลืมดูแลสภาพแบตเตอรี่

คนที่ใช้งานรถยนต์อย่างเดียวแต่ไม่เคยเปิดฝากระโปรงหน้าดูเลยอาจตกใจที่เห็นว่ามีฝุ่นหรือเศษดินเกาะติดมากแค่ไหน โดยเฉพาะบริเวณขั้วแบตเตอรี่ทั้งขั้วบวกและขั้วลบที่อาจมีสิ่งสกปรกจนทำให้ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ควรตรวจเช็คใต้ฝากระโปรงอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

5 ข้อที่มือใหม่หัดขับรถควรระวัง!
5 ข้อที่มือใหม่หัดขับรถควรระวัง!

5 ข้อที่มือใหม่หัดขับรถควรระวัง! กับ NumberOne Drive School โรงเรียนสอนขับรถ

ต้องยอมรับเลยว่าการเป็นมือใหม่หัดขับรถนั้นมีความเสี่ยงในอันตรายที่ค่อนข้างสูง เพราะขณะที่คุณอยู่บนท้องถนน หากคุณทำอะไรไม่ถูกและผิดพลาดไป อาจเกิดเป็นอุบัติเหตุที่อาจจะอันตรายถึงชีวิตได้

วันนี้ NumberOne Drive School โรงเรียนสอนขับรถ รวบรวม 5 ข้อที่มือใหม่หัดขับรถควรให้ความสนใจ และระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ เพื่อสร้างความปลอดภัยในการขับขี่บนท้องถนน และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคุณ มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง!

1. มารยาทบนท้องถนนควรรู้

มารยาทในการขับขี่นั้นสำคัญและสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ เมื่อขับรถนานๆ จะสามารถซึมซับธรรมชาติของการขับรถบนท้องถนนได้ แต่จะดีกว่าถ้าคุณเรียนรู้มันเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ยกตัวอย่างเช่น

  • เมื่อขับรถอยู่ในทางโทต้องให้ทางเอกไปก่อน
  • ขับช้าควรอยู่ชิดซ้าย
  • เมื่ออยู่เลนขวา หากมีรถเร็วกว่าขับมาควรหลบให้แซง
  • ไม่ขับจี้ท้ายจนเกินไป
  • รักษาเลนของตัวเองเวลาเลี้ยว
    มารยาทบนท้องถนนเหล่านี้จะช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุ และป้องกันการกระทบกระทั่งกันบนท้องถนนได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นควรจะพยายามจำมารยาทในการขับรถกันเอาไว้ให้ดีนะ

2. มองกระจกหรือสังเกตให้บ่อย

บ่อยครั้งที่มือใหม่หัดขับรถทั้งหลายทำการเปลี่ยนเลนขับรถโดยไม่ได้มองกระจกซ้ายขวา และข้างหลังให้ดีก่อน สุดท้ายก็จบลงที่การเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งการมองกระจกนั้นถือเป็นพื้นฐานสำคัญของการขับรถบนท้องถนน แต่ด้วยความมองยากของกระจกที่อยู่ไกลออกไป ทำให้หลายๆ คนไม่ใส่ใจ โดยเฉพาะเหล่ามือใหม่หัดขับรถที่ยังไม่ชิน

แนะนำว่าขณะขับรถให้พยายามมองกระจกบ่อยๆ จนติดเป็นนิสัย จะทำให้ความปลอดภัยในการขับรถของเราเพิ่มขึ้นอีกมากเลยทีเดียว

3. ไฟเลี้ยวต้องห้ามลืม

“เปิดไฟเลี้ยวก่อนที่จะเริ่มเลี้ยวอย่างน้อย 30 เมตร” เป็นสิ่งที่คุณต้องจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ผู้ที่หัดขับรถหลายคนอาจไม่ชินกับการใช้นิ้วเปิดปิดไฟเลี้ยว ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นต้องเตือนสติตัวเอง เปิดไฟเลี้ยวทุกครั้งให้ติดเป็นนิสัย

4. ฝึกใช้สัญญาณเตือนให้ชิน

เนื่องจากการที่ไม่สามารถพูดคุยกับรถคันอื่นบนท้องถนนได้ การบีบแตร และการกระพริบไฟสูงนั้นเป็นเหมือนการสื่อสารเจรจากันอย่างง่ายๆ บนท้องถนน ซึ่งจะใช้ในกรณีอย่างเช่น การขอทาง เพื่อเป็นสัญญาณเตือนในมุมอับให้รถอีกคันที่มองไม่เห็นเรา เป็นต้น

โดยปกติแล้วเราสามารถใช้ได้ทั้งเสียงแตร และการกระพริบไฟสูง แต่การบีบแตรนั้นก็มีข้อจำกัดห้ามใช้ในบางสถานที่ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และวัด เพราะฉะนั้นพยายามใช้เพียงการกะพริบไฟสูง และใช้แตรให้น้อยที่สุดจะดีกว่า

5. การรับมือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

สถานการณ์บนท้องถนนนั้นเป็นอะไรที่ยากจะคาดเดา แม้จะขับอย่างระมัดระวังเป็นอย่างดีแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การตั้งสติรับมือกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นให้ทันท่วงที หากมีผู้บาดเจ็บให้รีบติดต่อเรียกรถพยาบาลโดยด่วน

ควรเปิด สัญญานไฟเลี้ยว ในระยะไหน
การไม่ให้สัญญาณไฟในการขับรถ เป็นสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ

ควรเปิด สัญญานไฟเลี้ยว ในระยะไหน ก่อนถึงจุดเลี้ยว

สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ ก็คือ การไม่ให้สัญญาณไฟในการขับรถ เช่น ขับรถออกจากที่จอด, จอดรถซื้อของ,เปลี่ยนช่องจราจรโดยไม่เปิดสัญญานไฟเป็นต้น ทำให้รถคันที่ตามหลังมานั้นเกิดอุบัติเหตุ

วันนี้โรงเรียนสอนขับรถยนต์ นัมเบอร์วันไดร์ ศรีสะเกษจะมาบอกข้อควรปฏิบัติของการใช้ไฟเลี้ยวในสถานการณ์ต่างๆ

1.ขับรถเปลี่ยนช่องจราจร โดยสอนขับรถยนต์ศรีสะเกษ

เมื่อไหร่ที่เราต้องการจะเปลี่ยนช่องจราจรควรเปิดไฟเลี้ยวไปในทางทิศทางที่เราจะเลี้ยว และที่สำคัญต้องเปิดให้คันที่ตามมาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยก็เลี้ยวไปได้เลย ใช้ได้ทั้งรถจักรยานยนต์และรถยนต์

2.ต้องการที่กลับรถ

เมื่อไหร่ที่เราต้องการจะกลับรถ ควรเปิดสัญญานไฟเลี้ยวให้คันที่ตามมาด้านหลังรู้ล่วงหน้าอย่างน้อย 30เมตร ชะลอความเร็วเมื่อถึงทางกลับรถ หากเห็นว่าปลอดภัยก็กลับรถได้

3.การเลี้ยวเข้าทางร่วมทางเมื่ออยู่ทางแยก

หากต้องการจะเลี้ยวเข้าซอย หรือ ทางแยก ถ้าเทียบความเร็ว รถวิ่งอยู่ที่ 30กม./ชม. ก็ให้เปิดไฟเลี้ยวล่วงหน้าก่อน 30 เมตร ถ้ารถวิ่งอยู่ที่ 60 กม./ชม. ให้เปิดไฟเลี้ยวล่วงหน้าก่อน 60 เมตร ก่อนถึงทางแยกเพื่อบอกให้คันด้านหลังที่ขับตามมารู้ว่าคันของเราจะเลี้ยว

4.การเลี้ยวเข้าวงเวียน

ถ้าหากเราจะทำการเข้าวงเวียนควรเปิดไฟเลี้ยวขวาล่วงหน้า เพื่อบอกเป็นสัญญานว่าเราจะเข้าวงเวียน เว้นแต่ในกรณีที่มีรถเลี้ยวซ้ายและเลี้ยวขวา พร้อมกัน ให้รถเลี้ยวซ้ายให้ทางแก่รถเลี้ยวขวาก่อนเสมอ